วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แหลมทองบางแสนเมื่อหลายปีที่แล้ว ความทรงจำของเด็ก ม.บูรพา

แหลมทอง 3 นาที 

เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น ที่หน้ามหาวิทยาลัยมีห้างสรรพสินค้าตั้งอยู่
เป็นความรู้สึกของเด็กปีหนึ่งที่คิดว่า 
ชีวิตจะสะดวกสบาย เหมือนมีเซเว่นอยู่หน้าหอยังไงยังงั้น 
ตื่นเต้นตั้งแต่วันแรกที่เอาของเก็บที่หอใน
เริ่มทำความรู้จักเพื่อนในห
สังเกตง่ายๆ เลย เด็กปีหนึ่งที่เพิ่งมาอยู่หอใน
จะจับกลุ่มรวมตัวกันเดินไปไหนมาไหน
แล้วไปกันเยอะมากๆ อารมณ์แบบ ขอไปด้วยคน
กูยังไม่มีเพื่อน อยู่ในช่วงเพื่อนเยอะแบบยังไม่ได้คัดกรองคุณภาพ
เดินดุ่มๆจากหอตรงอาคารภปร.ไปหน้ามอ
วิ่งเข้าแหลมทองด้วยความเร็ว 120 กม/ชม
กะสูดแอร์เย็นๆ เดินดูของสวยๆ งามๆ กันเต็มที่

แต่ความตื่นเต้นทั้งหมดทั้งมวลก็พลันหายไป
หลังจากได้เดินเข้าห้างแหลมทองได้ 3 นาทีแรก

คือ ยังไม่จบ 3 นาทีดี กูเดินครบทั้งห้างละ

เหนื่อยแบบเหงื่อออกจากรูผุมขนไม่ทัน

ห้างแหลมทอง หรือ Saveland ในชื่อก่อนหน้านี้
เป็นห้างเล็กๆ ที่อยู่หน้ามหาวิทยาลัยบูรพา บางแสน
ถือเป็นโลเคชั่นที่ดีที่สุดในย่านนี้ เดินออกมาหน้ามอต้องเจอ
ขับรถจากถนนสุขุมวิทเข้ามาที่หาดบางแสนก็ต้องผ่าน
แต่ช่างเป็นห้างที่ใหญ่กว่าสนามฟุตบอลไม่กี่นิ้วเสียนี่กระไร

ระยะทางในการเดินจากประตูตรงลานโบว์ลิ่งไปยังซึทาย่า
หรือตอนนี้กลายเป็นธนาคารกสิกรไปแล้ว
ใช้เวลาเดินและตดไปด้วยลากยาว
คนที่เพิ่งเข้าประตูโบว์ลิ่งยังสามารถได้กลิ่นตดที่เพิ่งตดไปได้อยู่

ที่นี่มีโรงหนังด้วยนะ
ตอนแรกที่รู้ว่ามี ตกใจ โอ้โห SF Multiplex บางแสน หรูวะ
แต่พอมีสติคิดดูอีกที อ้าว
เป็นเครือที่เล็กที่สุดในบรรดา Class ทั้งหมดของโรงหนัง
บัตรก็แสนถูก 40 บาท ดูได้ทุกเรื่อง
ช่วงนั้นผมมีเพื่อนที่รู้จักทำงานเป็นเด็กฉายหนัง เด็กเก็บตั๋วอยู่ที่นั่น
เลยได้อานิสงค์เข้าฟรีตลอด แค่ไปบอกเพื่อนว่า
มึงวันนี้กูดูเรื่องนี้นะ
เพื่อนบอก เออ มึงรอคนเข้าก่อน
พอจบเพลงสรรเสริญพระบารมี มึงตามกูเข้ามานะ
เป็นอันรู้กัน

ทีเด็ดคือหน้าโรงหนัง
จะมีซุ้มขายป๊อปคอร์นกะโหลกกะลาอยู่ซุ้มหนึ่ง
แม่ค้าหน้าหงิกมาก อารมณ์เหมือนเราจะไปปล้นป๊อปคอร์นสุดอร่อยของแก
ทั้งที่มือกูเนี่ย กำตังค์ไว้แน่น
มึงจะคุยดีๆกับกูสักทีไม่ได้เลยหรอ
น้อยใจชิบหาย

ช่วงที่ผมอยู่ปีหนึ่ง แหลมทองมีของน้อยมาก
มีศูนย์ภาษาอยู่ในนั้น มีท็อป ซุปเปอร์มาเกตกังๆที่มีมุมข้าวราดแกงอร่อยๆซ่อนอยู่ แอบเข้าไปกินกับเพื่อนอยู่บ่อยๆ

มีสเวนเซ่นส์อยู่ตรงปากทางขึ้นชั้นสองไปลานโบว์ลิ่ง
ตอนนั้นใครเป็นสาวเสริฟไอติมที่นี่จะฮอตมากนะครับ
คัดหน้าตากันเต็มที่ ไปกินไอติมนี่คือกะจีบสาวเสริฟกันตลอด
บางคนก็จีบติด บางคนก็เงิบ ผมซึ่งมีเพื่อนอยู่ในทั้งสองกรณี
ทำให้พอรู้ว่า เด็กเสิร์ฟสเวนเซ่นไม่ได้จีบกันง่ายๆ
แล้วก็ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ด้วยเช่นกัน

เคยมีความคิดอยู่ช่วงหนึ่งอยากไปลองสมัครเป็นพนักงานเสริฟที่นั่นดูบ้าง
แต่หลังจากส่องกระจกดูสภาพตัวเองแล้ว
บวกกับสูตรการจดไอติมที่มีการยกกำลังวิปครีม
ไม่เอาเอามอลเปลี่ยนเป็นแยมสตอรเบอร์รี่แทนแล้ว
รู้สึกถอดใจ และลาออกตั้งแต่ยังไม่ได้สมัคร

ที่ไม่น้อยหน้ากว่าร้านไอติม คือร้านพิซซ่าครับ

พนักงานยืนหน้าร้านน่ารักแบบตบตีสู้กันสูสี

โชคดีอีกครั้งที่มีเพื่อนเป็นพนักงานในนั้น
เราจะได้สิทธิพิเศษในการลดราคาแบบที่อิโต๊ะข้างๆ ต้องอิจฉา
แถมด้วยสลัดบาร์ที่ตักแบบไม่อั้น แต่กูให้มึงตักรอบเดียวนะ
พวกผมก็เลยเอาผักใบเขียวรองฐานก่อน แล้วค่อยเอาไข่
เอาผักที่ทำให้รากฐานมั่นคงลงไป
ตามด้วยทุกสิ่งที่อยู่ในบาร์นั้น อัดเข้าไปในถ้วยเท่าฝ่ามือ
แดกหมดไม่หมดไม่รู้ แต่กูสนุก
ถ้าตักมาแล้วสูงกว่าโต๊ะข้างๆ จะรู้สึกว่ากูเก่งกว่าอย่างบอกไม่ถูก
เป็นประสบการณ์ที่ทำให้ร้านพิซซ่าทั้งประเทศยกเลิกสลัดบาร์
กูไม่ให้มึงแดกแล้ว สนุกกันมากนักใช่มั้ยยยย

อีกหนึ่งร้านที่ผมไปกินบ่อย คือฮะจิบัง
จะบ่อยก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ เพราะช่วงที่เรียนไม่ค่อยมีตังค์
เข้าไปบ่อยๆก็จะหมดตัว แล้วกลับไปกินมาม่าได้
แต่ที่ชอบเข้าไปเพราะชอบเข้าไปฟังเพลงของ อูทาดะ ฮิคารุ
เขาเปิดเพลงของอูทาดะ สาวญี่ปุ่นเสียงดี
มากความสามารถเกือบทุกเพลง เปิดทุกวัน เปิดทุกเดือน
และเปิดแม่งทุกปี

นี่จบมาสี่ปีแล้วกลับไปกิน เขายังเปิดอัลบั้มนั้นอยู่เลย
ไม่รู้ว่าชอบจริง หรือมีอยู่แผ่นเดียว
วานผู้จัดการถ้ามาอ่านรบกวนเปลี่ยนแผ่นด้วย
อูทาดะของผมคงเบื่อเพลงที่ตัวเองต้องร้องตอนพนักงานตะโกนโหวกเหวกต้อนรับลูกค้าอยู่ทุกวันแล้วแน่ๆ

กลับมาที่ข้างๆ โรงหนัง
จะมีตู้คาราโอเกะ

เป็นตู้เล็กๆห้ามเข้าเกิน 4-5 คน
แต่ทุกครั้งที่ไปมักจะ 8-9 คน อัดแน่นอยู่ในตู้กากๆ ที่ไมค์ดังแค่อันเดียว อีกอันเอาไว้ให้เราจับแล้วเคาะๆ พร้อมกับบ่นกับเพื่อนว่า ไอห่า แม่งไม่ดัง

พอมันดัง ก็จบเพลงซะแล้ว

บางทีโชคไม่ดี พนักงานแลกเหรียญก็จะเดินมาตรวจ
เราก็ต้องแตกทัพ ทำเป็นไปเยี่ยว
เดินไปด่ากับแม่ค้าป๊อปคอร์น แล้วพอเจ้กลับไป
เราก็มาอัดกันร้องเพลงกันต่

เมื่อออกจากคาราโอเกะ ก็แวะเข้าซึทาย่า

ร้านเช่าหนังที่แพงที่สุดในบางแสนประเทศ
เรื่องละ 30 – 40 บาท ตอนนั้นถือว่าแพงมากนะครับ
แถมพนักงานก็จับผิดกันชิบหา
กล่าวหาว่าเราทำแผ่นเป็นรอยอยู่ตลอด
เวลายืมไปนะ แผ่นรอยเกอะกัง เอ็งก็เอาน้ำยามาฉีดๆ
มันก็ดูใสดี แต่พอเอาไปดูจริง
หนังกระตุกเหมือนมึงเอากระดาษทรายมาถูกเลยครับ

หลังจากนั้นไม่นาน ซึทาย่าก็จากเราไป

ลานหน้าแหลมทองเคยเป็นที่จอดรถที่มีความกว้างและบรรจุรถได้เยอะ
กว้างขนาดบอดี้แสลมเคยมาแสดงคอนเสิร์ตตรงลานจอดรถนี้
ผมไม่ได้เข้าไปดู แต่ได้ยินเสียงพี่ตูนอยากบินลอยมาถึงหอใน

ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่อยู่ในช่วงที่แหลมทองแบบเก่า และเปลี่ยนแปลงเป็นแบบใหม่

หลังจากนั้นไม่นาน แหลมทองเริ่มปรับปรุง
จากห้างชั้นครึ่ง กลายเป็นสี่ชั้น
ช่วงระหว่างการก่อสร้างก็ไม่ได้ปิดห้างแต่อย่างใด มีเอาผ้าใบมากันเป็นส่วนๆ ได้ยินเสียงอ๊อคเหล็ก เสียงเคาะกันอุดตลุด
ใช้เวลาประมาณ 1 ปี
แหลมทองก็กลายเป็น The runway of lifestyle
ฟังดูดัดจริต ลืมไปเลยว่าเคยเป็นสาวชั้นครึ่งไปโดยปริยาย

แหลมทองดูดีขึ้น จากที่ใช้เวลาเดิน 3 นาที
ก็เพิ่มขึ้นเป็น 5 นาที

โรงหนังใหญ่ขึ้น
มีธนาคารมากขึ้น
เอ็มเค เคเอฟซี มีเป็ด มีไก่ให้กิน
รวมทั้งร้านหนังสือที่นอกจากซีเอ็ดแล้ว ยังมีนายอินทร์มาร่วมด้วย

เขียนถึงตรงนี้แล้วรู้สึกเหมือนกำลังโฆษณาให้ห้างนี้อยู่เลย
ทั้งๆที่ไม่เคยได้อะไรจากมัน มีแต่เสียตังให้มันอยู่ทุกวี่ทุกวัน

ไม่น่าเชื่อนะครับ ว่าห้างเล็กๆหน้ามอที่เดินเข้าเดินออกกันอยู่บ่อยๆ
นอกจากจะเก็บสิ้นค้าไว้ทำลายกระเป๋าตังเราแล้ว
ยังเก็บความทรงจำของเราเอาไว้ด้วย 


แหลมทอง บางแสน


ทุกวันนี้เวลาผมเดินเข้าแหลมทอง
ผมยังไปยืนดูว่า ตรงนี้มันเคยเป็นอะไรมาก่อน
แล้วตอนนี้มันกลายเป็นอะไร
เราเคยมาทำอะไรกับเพื่อนที่ร้านนี้บ้าง
เคยนัดสาวมากินข้าวครั้งแรกที่นี่
แล้วเสือกรถไฟชนกันกับอีกคน

มันเป็นห้างที่โครตจะธรรมดา
แต่เรื่องราวของเราที่อยู่ในนั้นต่างหาก
ที่ทำให้แหลมทองไม่ธรรมดา

เป็นเรื่องยากที่เราจะลืมความทรงจำตลอด 4 ปี
ที่มีห้างเล็กๆแห่งนี้เป็นฉากหลังของชีวิตมหาวิทยาลัยเขาเราไปได้

ห้างที่เราบ่นว่า ไม่เห็นมีอะไร เดินแปปเดียวก็ครบ
แต่เราก็ยังไปเดินอยู่ทุกสัปดาห์
แม้ว่าไม่รู้จะเดินไปทำไมก็ตาม
ผมเดินกลับหอในพร้อมเพื่อนๆที่รู้จักกันในวันแรก 

เราต่างถือกะละมัง ตะกร้า กระป๋อง แฟ้บ และมาม่ากันคนละไม้คนละมือ
4 ปีต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร พวกผมไม่รู้

หรือแหลมทองในตอนนั้นรู้ว่า
เด็กที่เพิ่งมาอยู่บางแสนแรกๆต้องการอะไร
เลยไม่ได้ทำตัวเองให้ดูโอ่อ่าฟู่ฟ่า
แต่ทำให้ดูเป็นห้างที่แสนธรรมดา
ที่เด็กบางแสนอย่างเราจะได้ไปเดินได้ทุกวัน 



"ข้างนอกสดใส ข้างในมอบู"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น